การเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน
ประเทศพม่า ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 พร้อมๆ
กับประเทศลาว ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลของประเทศในซีกโลกตะวันตก ซึ่งในขณะนั้นประเทศพม่ายังคงมีปัญหาทางการเมืองและมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อยู่สูง โดยในปี พ.ศ.2533 รัฐบาลประเทศพม่าได้จัดให้มีการเลือกตั้ง
ซึ่งพรรคฝ่ายค้านนำโดยนางอองซานซูจี ชนะการเลือกตั้งท่วมท้นถึง 80% แต่รัฐบาลทหารพม่า ภายใต้การนำของ นายพลซอ
หม่อง ในนามของ "สภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐ" หรือ "สลอร์ค" (The
State Law and Order Pestoration Council ; SLORC) ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
ทำให้ประชาชนต่อต้านและเกิดเหตุการณ์จลาจลเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย รัฐบาลทหารจึงปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง
ประชาชนเสียชีวิตหลายพันคน และยังคงกักตัวนางอองซานซูจีไว้ในบ้านพัก และ ปกครองประชาชนชาวพม่าอย่างกดขี่ ไร้สิทธิเสรีภาพ เหตุการณ์นี้เป็นที่สนใจของทั่วโลก
และรัฐบาลทหารพม่าได้ถูกประณามจากสหประชาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ดัง นั้น เมื่อถึงเวลาที่พม่าเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียน จึงทำให้หลายประเทศมหาอำนาจ ฝ่ายตะวันตก อาทิ สหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย
และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป คัดค้านการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพม่า โดยแสดงความเห็นว่า “อาเซียนยังไม่ควรรับพม่าเข้าเป็นสมาชิกจนกว่าสภาพทางการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่าจะดีขึ้น”
แต่อย่างไรก็ตาม อาเซียนยังคงยืนยันที่จะรับพม่าในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้
โดยมีประเทศที่เป็นหัวหอกสำคัญในการสนับสนุนให้พม่าเข้าเป็นสมาชิกอา เซียน คือ มาเลเซีย ในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธียร์ และอินโดนีเซีย ในสมัยอดีตประธานาธิบดี
ซูฮาร์โต เหตุผลสำคัญในการที่ประเทศสมาชิกอาเซียนนำมาอ้างเพื่อสนับสนุนการเข้าเป็น
สมาชิกอาเซียนของพม่า คือ
1) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และความต้องการสร้างเอกภาพของประเทศอาเซียน เนื่อง จากประเทศพม่าตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหมือนกัน จึงสมควรรับเข้ามาเป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะมีผลทำให้สมาคมอาเซียนมีขนาดใหญ่ ขึ้น และมีอำนาจต่อรองและอิทธิพลในเวทีการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาคมระหว่างประเทศเห็นว่าประเทศสมาชิกอาเซียนมี
ความเป็นปึกแผ่น เป็นอิสระ มีอธิปไตยของตนเอง และไม่อยู่ภายใต้การชี้นำของกลุ่มประเทศมหาอำนาจฝ่ายตะวันตก
2) ปัจจัยทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน การ รับพม่าเข้าเป็นสมาชิกสมาคมอาเซียนได้สนับสนุนเหตุผลทางยุทธศาสตร์ของอา
เซียนที่มีความวิตกกังวลต่อการแผ่อิทธิพลในด้านต่างๆ ของจีน ที่นับวันได้เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี พ.ศ. 2531 พม่าและจีนได้มีความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างแนบ
แน่น สืบเนื่องจากพม่าถูกตัดความช่วยเหลือจากนานาประเทศ
เป็นผลให้พม่าต้องรับความช่วยเหลือจากจีนและพึ่งพาจีนอย่างเต็มที่ตั้งแต่ นั้นมา ความใกล้ชิดระหว่างพม่ากับจีนได้ทำให้เกิดความกังวลใจกับอาเซียน เนื่องจาก ประเทศสมาชิกหลายประเทศทั้งมาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ มีประเด็นปัญหากับจีนในกรณีการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์
ดังนั้น การรับพม่าเข้ามาในสมาคมอาเซียนจึงถือได้ว่าเป็นการช่วยลดภาวะการพึ่งพาที่
พม่ามีต่อจีน และลดอิทธิพลของจีนในพม่าลงได้
3) เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพม่า การ รับพม่าเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมอาเซียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นองค์กรที่มีชื่อ
เสียง มีภาพลักษณ์ และเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศ กรอบของอาเซียนจะมีผลทำให้พม่าต้องปรับตัวและนโยบายของพม่าให้สอดคล้องกับ
นโยบาย หลักปฏิบัติ และประเพณีค่านิยมของสมาคมอาเซียนเอง
ในทางกลับกัน หากมองในมุมมองของพม่าต่อการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนนั้น
จะพบว่ามีหลายปัจจัยที่ผลักดันให้พม่าเข้าร่วมสมาชิกอาเซียน กล่าวคือ พม่า ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อประเทศในภูมิภาค
และได้รับการยอมรับจากประชาชนภายในประเทศของรัฐบาลทหารพม่า (SLORC) เพื่อลดความนิยมของอองซาน ซูจี และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย
(NLD) นอกจากนี้ พม่ายังมีความกังวลใจเกี่ยวกับภัยคุกคามทางเศรษฐกิจของประเทศ
อินเดียที่ได้เข้าไปลงทุนในประเทศพม่าเป็นจำนวนมาก และประเทศจีนที่เริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในพม่า จนพม่าไม่สามารถควบคุมจีน ได้อีกต่อไป เนื่องจากพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินเกือบทั้งหมดอยู่ภายใต้
อิทธิพลจีน อีกทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลทหารพม่ายังเข้า
ไปไม่ได้ ประเด็นสำคัญก็คือ พื้นที่ที่จีนเข้าไปครอบครองนั้นเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ
พม่า ซึ่งอิทธิพลจีนตรงนี้จะทำให้พม่าต้องหันมาจับมือกับอาเซียนและมองว่าอา
เซียนเป็นทางออกในการเจรจากับจีน ยิ่งกว่านั้น ในความสัมพันธ์กับองค์กรอาเซียนภายใต้นโยบาย
“ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” เป็นเหตุผลที่จูงใจให้พม่าเปิดตัวเข้าสัมพันธ์กับอาเซียนมากขึ้น
บทบาทของพม่าในอาเซียน
พม่าเป็นประเทศที่มีความสำคัญประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ไม่ว่าจะเป็นความสำคัญทางด้านภูมิศาสตร์ที่มีพรมแดนเป็นประตูเชื่อมโยงจีน และอินเดีย
ทั้งยังเป็นประตูหรือทางออกไปสู่ตะวันออกกลางและยุโรป ดังนั้น สภาพทางภูมิศาสตร์ของพม่าจึงมีความสำคัญในยุคโลกาภิวัตน์
ซึ่งเป็นยุคที่โลกไร้พรมแดน เนื่องจากพม่าสามารถเป็นทางผ่านของวัตถุดิบและสินค้าระหว่างภูมิภาคได้เป็น
อย่างดี นอกจากนี้ ยังมีทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะด้านพลังงานอันเป็นปัจจัยสำคัญของยุค
อุตสาหกรรม เป็นตลาดสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของประเทศในภูมิภาค
อีกทั้งพม่ามีแรงงานขั้นต่ำราคาถูก สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้พม่ามีบทบาทสำคัญ เป็นที่ต้องการของกลุ่มประเทศอาเซียนในการชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิก
ในระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2505–2531 ประเทศพม่ามีนโยบายต่างประเทศที่อาจเรียกได้ว่าเป็น
“นโยบายโดดเดี่ยวตัวเอง” (Isolationism) และปกครองประเทศภายใต้เผด็จการทหาร
กระทั่งเกิดความวุ่นวายภายในพม่าในปี 2531 ทำให้พม่าหันมาปรับใช้นโยบายเปิดประเทศทางด้านเศรษฐกิจ
ด้วยการออกกฎหมายการลงทุนต่างชาติ และติดต่อคบค้ากับประเทศในภูมิภาคมากขึ้น เช่น
ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก นอกจากนี้ พม่ายังเปิดสัมพันธ์ต่อประเทศสังคมนิยมทั้งเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ในขณะที่ด้านการเมืองภายในยังคงปิดกั้นไม่ให้ต่างชาติเข้าแทรกแซง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่หลายประเทศกดดันปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า ซึ่ง มีการเข่นฆ่า สังหาร คุกคาม ข่มขืนประชาชนและชนกลุ่มน้อยโดยทหารพม่ามาอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการกดขี่และผูกขาดทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นมูลฐานด้านต่างๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พม่าได้เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน รัฐบาลพม่าได้มีท่าทีอ่อนลง โดยยอมให้มีการหารือกับชนกลุ่มน้อยและพรรคฝ่ายค้าน
เพื่อหวังที่จะปรับปรุงภาพลักษณ์ของรัฐบาลให้ดีขึ้น และนำไปสู่การประนีประนอมทางการเมืองภายในประเทศ
จึงมีการยุบ SLORC และ ได้จัดตั้งสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ
(State Peace and Development Council : SPDC) ขึ้นแทน
แต่ในปี พ.ศ.2550 รัฐบาลพม่าก็ได้ได้ปราบปรามการชุมนุมของพระภิกษุสงฆ์และประชาชนในกรุง
ย่างกุ้ง ที่ออกมาชุมนุมนับแสนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าลดราคาน้ำมัน ปล่อยนักโทษการเมือง
ให้ฝ่ายทหารผู้ปกครองประเทศตั้งคณะสมานฉันท์เพื่อความปรองดองแห่งชาติ โดยในเหตุการณ์ปราบปรามในครั้งนั้น
มีประชาชนเสียชีวิตหลายร้อยคน สิ่งเหล่านี้ ถือเป็นความกังวลใจของอาเซียน เพราะพม่าได้ทำให้ปัญหาที่พม่ามีกับประชาคม โลกกลายเป็นปัญหาของอาเซียนมากกว่าปัญหาของพม่าโดยตรง
ด้านบทบาทการเป็นประธานอาเซียน ใน ปี พ.ศ.2549
ประเทศพม่าได้ถูกกดดันจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปให้ถอนตัวจากการเป็น
ประธานอาเซียน เนื่องจากมีการต่อต้านและวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับปัญหา
สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในพม่า จนท้ายที่สุดประเทศพม่าต้องยอมถอนตัวจาก
ประธานอาเซียนในครั้งนั้น และไม่ได้เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน ประจำปี 2549 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ ในพม่าเริ่มคลี่คลายมากขึ้น
หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปของพม่าในปี พ.ศ.2553 ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของพม่า โดยถือเป็นจุดสิ้น สุดรัฐบาลเผด็จการทหารและได้รัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ อีกทั้งพม่ายังมีการปล่อยนักโทษการเมือง
และแสดงท่าทีในการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในพม่า เป็นผลทำให้สถานะของ
พม่าในสายตาของประชาคมโลกดีขึ้น จนทำให้นายนูซาดัว คณะรัฐมนตรีชาติสมาชิกอาเซียน ประกาศว่าอาเซียนจะรับรองพม่าในการเป็นประธาน สมาคมอาเซียน ประจำปี 2557 ถือเป็นแรงสนับสนุนให้กับรัฐบาลใหม่ของพม่า หลังพยายามปฏิรูปประเทศในช่วง ที่ผ่านมา อีกทั้ง นายอานิฟะห์ อามาน
รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ยังได้กล่าวต่อผู้สื่อข่าวในการประชุมอาเซียนที่เกาะบาหลีว่า “บรรดาประเทศสมาชิกต่างเห็นตรงกันว่าจะให้พม่าเป็นประธานอาเซียนปี 2557 หลังจากที่พม่าดำเนินแนวทางอย่างสร้างสรรค์ในการปฏิรูปประชาธิปไตย และควรสนับสนุนด้วยการให้พม่าได้เป็นประธานอาเซียน”

