วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

บทบาทของพม่าในอาเซียน

การเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน



         ประเทศพม่า ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 พร้อมๆ กับประเทศลาว ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลของประเทศในซีกโลกตะวันตก ซึ่งในขณะนั้นประเทศพม่ายังคงมีปัญหาทางการเมืองและมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน อยู่สูง โดยในปี พ.ศ.2533 รัฐบาลประเทศพม่าได้จัดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคฝ่ายค้านนำโดยนางอองซานซูจี ชนะการเลือกตั้งท่วมท้นถึง 80% แต่รัฐบาลทหารพม่า ภายใต้การนำของ นายพลซอ หม่อง ในนามของ "สภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐหรือ "สลอร์ค" (The State Law and Order Pestoration Council ; SLORC) ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนต่อต้านและเกิดเหตุการณ์จลาจลเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย รัฐบาลทหารจึงปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง ประชาชนเสียชีวิตหลายพันคน และยังคงกักตัวนางอองซานซูจีไว้ในบ้านพัก และ ปกครองประชาชนชาวพม่าอย่างกดขี่ ไร้สิทธิเสรีภาพ เหตุการณ์นี้เป็นที่สนใจของทั่วโลก และรัฐบาลทหารพม่าได้ถูกประณามจากสหประชาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ดัง นั้น เมื่อถึงเวลาที่พม่าเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียน จึงทำให้หลายประเทศมหาอำนาจ ฝ่ายตะวันตก อาทิ สหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป คัดค้านการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพม่า โดยแสดงความเห็นว่า อาเซียนยังไม่ควรรับพม่าเข้าเป็นสมาชิกจนกว่าสภาพทางการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่าจะดีขึ้น
                  แต่อย่างไรก็ตาม อาเซียนยังคงยืนยันที่จะรับพม่าในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยมีประเทศที่เป็นหัวหอกสำคัญในการสนับสนุนให้พม่าเข้าเป็นสมาชิกอา เซียน คือ มาเลเซีย ในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธียร์ และอินโดนีเซีย ในสมัยอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต เหตุผลสำคัญในการที่ประเทศสมาชิกอาเซียนนำมาอ้างเพื่อสนับสนุนการเข้าเป็น สมาชิกอาเซียนของพม่า คือ

          1)    ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และความต้องการสร้างเอกภาพของประเทศอาเซียน เนื่อง จากประเทศพม่าตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหมือนกัน จึงสมควรรับเข้ามาเป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะมีผลทำให้สมาคมอาเซียนมีขนาดใหญ่ ขึ้น และมีอำนาจต่อรองและอิทธิพลในเวทีการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาคมระหว่างประเทศเห็นว่าประเทศสมาชิกอาเซียนมี ความเป็นปึกแผ่น เป็นอิสระ มีอธิปไตยของตนเอง และไม่อยู่ภายใต้การชี้นำของกลุ่มประเทศมหาอำนาจฝ่ายตะวันตก

          2)    ปัจจัยทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน การ รับพม่าเข้าเป็นสมาชิกสมาคมอาเซียนได้สนับสนุนเหตุผลทางยุทธศาสตร์ของอา เซียนที่มีความวิตกกังวลต่อการแผ่อิทธิพลในด้านต่างๆ ของจีน ที่นับวันได้เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี พ.ศ. 2531 พม่าและจีนได้มีความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างแนบ แน่น  สืบเนื่องจากพม่าถูกตัดความช่วยเหลือจากนานาประเทศ เป็นผลให้พม่าต้องรับความช่วยเหลือจากจีนและพึ่งพาจีนอย่างเต็มที่ตั้งแต่ นั้นมา ความใกล้ชิดระหว่างพม่ากับจีนได้ทำให้เกิดความกังวลใจกับอาเซียน เนื่องจาก ประเทศสมาชิกหลายประเทศทั้งมาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ มีประเด็นปัญหากับจีนในกรณีการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์ ดังนั้น การรับพม่าเข้ามาในสมาคมอาเซียนจึงถือได้ว่าเป็นการช่วยลดภาวะการพึ่งพาที่ พม่ามีต่อจีน และลดอิทธิพลของจีนในพม่าลงได้

          3)    เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพม่า การ รับพม่าเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมอาเซียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นองค์กรที่มีชื่อ เสียง มีภาพลักษณ์ และเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศ กรอบของอาเซียนจะมีผลทำให้พม่าต้องปรับตัวและนโยบายของพม่าให้สอดคล้องกับ นโยบาย หลักปฏิบัติ และประเพณีค่านิยมของสมาคมอาเซียนเอง
                     ในทางกลับกัน หากมองในมุมมองของพม่าต่อการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนนั้น จะพบว่ามีหลายปัจจัยที่ผลักดันให้พม่าเข้าร่วมสมาชิกอาเซียน กล่าวคือ พม่า ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อประเทศในภูมิภาค และได้รับการยอมรับจากประชาชนภายในประเทศของรัฐบาลทหารพม่า (SLORC) เพื่อลดความนิยมของอองซาน ซูจี และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) นอกจากนี้ พม่ายังมีความกังวลใจเกี่ยวกับภัยคุกคามทางเศรษฐกิจของประเทศ อินเดียที่ได้เข้าไปลงทุนในประเทศพม่าเป็นจำนวนมาก และประเทศจีนที่เริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในพม่า จนพม่าไม่สามารถควบคุมจีน ได้อีกต่อไป เนื่องจากพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินเกือบทั้งหมดอยู่ภายใต้ อิทธิพลจีน อีกทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลทหารพม่ายังเข้า ไปไม่ได้ ประเด็นสำคัญก็คือ พื้นที่ที่จีนเข้าไปครอบครองนั้นเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ พม่า ซึ่งอิทธิพลจีนตรงนี้จะทำให้พม่าต้องหันมาจับมือกับอาเซียนและมองว่าอา เซียนเป็นทางออกในการเจรจากับจีน ยิ่งกว่านั้น ในความสัมพันธ์กับองค์กรอาเซียนภายใต้นโยบาย ไม่แทรกแซงกิจการภายในเป็นเหตุผลที่จูงใจให้พม่าเปิดตัวเข้าสัมพันธ์กับอาเซียนมากขึ้น

บทบาทของพม่าในอาเซียน
               พม่าเป็นประเทศที่มีความสำคัญประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นความสำคัญทางด้านภูมิศาสตร์ที่มีพรมแดนเป็นประตูเชื่อมโยงจีน และอินเดีย ทั้งยังเป็นประตูหรือทางออกไปสู่ตะวันออกกลางและยุโรป ดังนั้น สภาพทางภูมิศาสตร์ของพม่าจึงมีความสำคัญในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็นยุคที่โลกไร้พรมแดน เนื่องจากพม่าสามารถเป็นทางผ่านของวัตถุดิบและสินค้าระหว่างภูมิภาคได้เป็น อย่างดี นอกจากนี้ ยังมีทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะด้านพลังงานอันเป็นปัจจัยสำคัญของยุค อุตสาหกรรม เป็นตลาดสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของประเทศในภูมิภาค อีกทั้งพม่ามีแรงงานขั้นต่ำราคาถูก สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้พม่ามีบทบาทสำคัญ เป็นที่ต้องการของกลุ่มประเทศอาเซียนในการชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิก
               ในระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2505–2531 ประเทศพม่ามีนโยบายต่างประเทศที่อาจเรียกได้ว่าเป็นนโยบายโดดเดี่ยวตัวเอง” (Isolationism) และปกครองประเทศภายใต้เผด็จการทหาร กระทั่งเกิดความวุ่นวายภายในพม่าในปี 2531 ทำให้พม่าหันมาปรับใช้นโยบายเปิดประเทศทางด้านเศรษฐกิจ ด้วยการออกกฎหมายการลงทุนต่างชาติ และติดต่อคบค้ากับประเทศในภูมิภาคมากขึ้น เช่น ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก นอกจากนี้ พม่ายังเปิดสัมพันธ์ต่อประเทศสังคมนิยมทั้งเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ในขณะที่ด้านการเมืองภายในยังคงปิดกั้นไม่ให้ต่างชาติเข้าแทรกแซง ท่ามกลางสถานการณ์ที่หลายประเทศกดดันปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า ซึ่ง มีการเข่นฆ่า สังหาร คุกคาม ข่มขืนประชาชนและชนกลุ่มน้อยโดยทหารพม่ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกดขี่และผูกขาดทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นมูลฐานด้านต่างๆ
               อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พม่าได้เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน รัฐบาลพม่าได้มีท่าทีอ่อนลง โดยยอมให้มีการหารือกับชนกลุ่มน้อยและพรรคฝ่ายค้าน เพื่อหวังที่จะปรับปรุงภาพลักษณ์ของรัฐบาลให้ดีขึ้น และนำไปสู่การประนีประนอมทางการเมืองภายในประเทศ จึงมีการยุบ SLORC และ ได้จัดตั้งสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council : SPDC) ขึ้นแทน แต่ในปี พ.ศ.2550 รัฐบาลพม่าก็ได้ได้ปราบปรามการชุมนุมของพระภิกษุสงฆ์และประชาชนในกรุง ย่างกุ้ง ที่ออกมาชุมนุมนับแสนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าลดราคาน้ำมัน ปล่อยนักโทษการเมือง ให้ฝ่ายทหารผู้ปกครองประเทศตั้งคณะสมานฉันท์เพื่อความปรองดองแห่งชาติ โดยในเหตุการณ์ปราบปรามในครั้งนั้น มีประชาชนเสียชีวิตหลายร้อยคน สิ่งเหล่านี้ ถือเป็นความกังวลใจของอาเซียน เพราะพม่าได้ทำให้ปัญหาที่พม่ามีกับประชาคม โลกกลายเป็นปัญหาของอาเซียนมากกว่าปัญหาของพม่าโดยตรง
                     ด้านบทบาทการเป็นประธานอาเซียน ใน ปี พ.ศ.2549 ประเทศพม่าได้ถูกกดดันจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปให้ถอนตัวจากการเป็น ประธานอาเซียน เนื่องจากมีการต่อต้านและวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับปัญหา สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในพม่า จนท้ายที่สุดประเทศพม่าต้องยอมถอนตัวจาก ประธานอาเซียนในครั้งนั้น และไม่ได้เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน ประจำปี 2549 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ ในพม่าเริ่มคลี่คลายมากขึ้น หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปของพม่าในปี พ.ศ.2553 ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของพม่า โดยถือเป็นจุดสิ้น สุดรัฐบาลเผด็จการทหารและได้รัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ อีกทั้งพม่ายังมีการปล่อยนักโทษการเมือง และแสดงท่าทีในการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในพม่า เป็นผลทำให้สถานะของ พม่าในสายตาของประชาคมโลกดีขึ้น จนทำให้นายนูซาดัว คณะรัฐมนตรีชาติสมาชิกอาเซียน ประกาศว่าอาเซียนจะรับรองพม่าในการเป็นประธาน สมาคมอาเซียน ประจำปี 2557 ถือเป็นแรงสนับสนุนให้กับรัฐบาลใหม่ของพม่า หลังพยายามปฏิรูปประเทศในช่วง ที่ผ่านมา อีกทั้ง นายอานิฟะห์ อามาน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ยังได้กล่าวต่อผู้สื่อข่าวในการประชุมอาเซียนที่เกาะบาหลีว่า บรรดาประเทศสมาชิกต่างเห็นตรงกันว่าจะให้พม่าเป็นประธานอาเซียนปี 2557 หลังจากที่พม่าดำเนินแนวทางอย่างสร้างสรรค์ในการปฏิรูปประชาธิปไตย และควรสนับสนุนด้วยการให้พม่าได้เป็นประธานอาเซียน” 


แหล่งท่องเที่ยวในเมียนมาร์

แหล่งท่องเที่ยวในประเทศเมียนมาร์


     ประเทศเมียนมาร์มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และมีมาช้านาน สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของชาวเมียนมาร์ โดยแบ่งตามยุคสมัย และลักษณะของศิลปวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป สถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากจึงเป็นวัด และสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ

มหาเจดีย์ชเวดากอง


     พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า โดยชื่อ "ชเว" หมายถึง ทอง "ดากอง" นั้นเป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด ชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมจะต้องถอดรองเท้าทุกครั้ง
     ตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น สำหรับให้พ่อค้าทั้งสองรับไว้บูชา
     พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อยมาทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311(ในสมัยกรุงธนบุรี) ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา
     ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมจะต้องถอดรองเท้าทุกครั้งเมื่อมาถึงทางเข้า ให้เดินตามเข็มนาฬิกา ขึ้นอยู่กับดวงวันเกิดของผู้เข้าที่จะดูตาม 12 นักษัตรรอบ ๆ พระเจดีย์ก็มีศาลเจ้าเล็ก ๆ อยู่รายรอบ

เจดีย์ชเวสิกกอง

     เจดีย์ชเวสิกกอง อยู่ในเมืองพุกาม อยู่ห่างจากตัวเมืองย่างกุ้ง 680 กิโลเมตร มีศิลปะการก่อสร้างแบบพม่าแท้ คือเป็นสถูปสีทองขนาดใหญ่ เชื่อกันว่าภายในสถูปแห่งนี้มีพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ ความสูงของสถูปคือ 60 เมตร

มิงกาลาเจดีย์ 

     มิงกาลาเจดีย์ หรือเจดีย์มังคละ แปลว่า เจดีย์แห่งความเป็นสิริมงคลจัดเป็นประเภท เจดีย์ก่อิฐตันหรือ สถูปตั้งอยู่เหนือฐานทักษินสามชั้นซึ่งซ้อนกันบนฐานไพทีทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส บริเวณฐานแต่ละชั้นประดับลวดลายปูนปั้นเล่าเรื่องชาดก เช่นเดียวกันเจดีย์ชเวสิกอง เนื่องจากกษัตริย์ผู้สร้างคือพระเจ้านรสีหปติ ทรงปรารถนาจะสร้างให้ยิ่งใหญ่เทียบเคียงเจดีย์ที่วีรกษัตริย์คือ พระเจ้าอโนรธาทรงสร้างไว้  ด้วยเหตุที่พระเจ้านรสีหปติทรงนำความล่มสลายมาสู่อาณาจักรพุกาม มิงกาลเจดีย์จึงไม่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างดีเท่าชเวสิกอง ทว่านักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปชมทะเลเจดีย์เมืองพุกามในมุมมอง 360 องศา ทั้งยามอรุณรุ่งและอัสดง เจดีย์ชเวชิกอง (Shwezigon pagoda) ชาวพม่าทั่วไปเคารพนับถือความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์แห่งนี้เป็นอันมาก เป็น 1 ใน 5 มหาเจดีย์สถานของพม่า เพราะเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระเขี้ยวแก้ว เจดีย์รูปแบบศิลปะพม่าอย่างแท้แห่งนี้สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อโนรธา (King Anawrahta) แต่แล้วเสร็จในสมัยของกษัตริย์จันสิตธา(King Kyanzittha) องค์เจดีย์สีทองอร่ามทรงระฆังคว่ำ สูง 160 เมตร ภายในมีหอผีนัต ซึ่งเป็นวิหารยาวที่ตั้งรูปผีหลวงที่ชาวพม่าเคารพนับถือ ในอดีตนั้นเจดีย์แห่งนี้มีความสำคัญของชาวพม่ามาก เพราะ ใช้เป็นสัญลักษณ์การตนเป็นพุทธมามกะตั้งแต่โบราณ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการเข้าชมเจดีย์นี้คือภาพประวัติพุทธชาดกของพระพุทธเจ้าที่ปรากฎบริเวณผนัง

เจดีย์ชเวชันดอ (Shwesandew Pagoda)

เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ที่มีอำนาจมากพระองค์แห่งอาณาจักรพุกาม นอกจากเจดีย์แห่งนี้จะเป็นที่บรรจุของพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังมีรูปปั้นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดูตั้งอยู่บริเวณลานของวิหาร จึงมีชื่อเรียกแบบฮินดูว่า เจดีย์กาเนชา (Ganesha Pogada)เจดีย์ชเวชันดอนี้ยังเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการชมทุ่งเจดีย์อีกแห่งหนึ่งของพุกามยามอาทิตย์อัสดงจะได้เห็นภาพหมู่เจดีย์สุดลูกหูลูกตา ที่ต้องแสงสีแดงอ่อนแห่งยามเย็นอย่างงดงาม

เจดีย์อนันดา (Ananda Pagoda)

เจดีย์อนันดาสร้างขึ้นโดยกษัตริย์จันสิทธะ (King Kyanzittha) เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขานันทมูล (Nandamula) บนเทือกเขากันทมาดานะ(Gandhamadana) บริเวณเทือกเขาหิมาลัย อันเนื่องมาจากการจาริกแสวงบุญมายังดินแดนพุกามของพระอรหันต์ 5 รูป เหล่าพระอรหันต์ได้ทูลเล่าถึงลักษณะวัดในอินเดียถวายพระเจ้าจันสิทธะ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงได้ดำรัสให้ก่อสร้างขึ้นตามลักษณะที่เหล่าพระอรหันต์ได้พรรณา แล้วตั้งชื่อว่าวัดอนันดาตามชื่อถ้ำที่พระอรหันต์ทั้ง 5 อาศัยอยู่ เจดีย์อนันดานี้ยังด้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตย์พุกาม ตัววิหารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสที่ใหญ่โตสง่างาม มีมุขเด็จยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน หากดูตามผังลักษณะเหมือนกับไม้กางเขนแบบกรีก ภายในวิหารมีพระพุทธรูปยืนที่เกาะสลักด้วยไม้สัก ประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศ ผลงานฝีมือของช่างพม่าชั้นสูงที่ทำช่องให้แสงส่องเฉพาะองค์พระพุทธรูปซึ่งพระพักตร์ขององค์พระนั้นมีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา สร่างความน่าเลื่อมใสแก่ผู้ไปสักการะ

วัดธรรมยางจี (Dhamayangyi Thample)
ลักษณะเจดีย์มีความสวยงามมาก และได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดในพุกาม เพราะสร่งขึ้นด้วยอิฐสีแดงเป็นเอกลักษณ์ วัดนี้มีเจดีย์ที่สร้างขึ้นคล้ายเจดีย์อนันดา คือมีลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีมุขยื่นออกมาสี่ด้าน สร้างขึ้นโดยกษัตริย์นรายุ (King Narathu) วิหารนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า กาลักยามิน (Kalagya Min) หมายถึง วิหารของกษัตริย์ที่ถูกฆ่าโดยพวกกาลา ทหารของกษัตริย์ปาเทกคายา (Pateikkaya) แห่งอินเดีย เพื่อเป็นการแก้แค้นให้พระราชธิดาของกษัตริย์อินเดีย ซึ่งถูกฆ่าโดยกษัตริย์นราธุพระสวามีของพระนางเอง

เจดีย์สัพพัญญู หรือ วัดถัดบินยู (Thatbyinntut Pagoda)

เป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในเมืองพุกามความสูงทั้งสิ้นประมาณ 61 เมตร สร้างขึ้นตามศิลปะแบบปาละของอินเดีย ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1687 โดยกษัตริย์อลองสิตู (King Alongsithu) โดยแบ่งลักษณะของเจดีย์ออกเป็นระดับจำนวน 5 ชั้น เหมาะอย่างยิ่งกับการถ่ายรูปทิวทัศน์โดยรวมของเมืองพุกาม เราจึงมักพบภาพทิวทัศน์ของเมืองพุกามตามนิตยสารต่างๆที่ถ่ายบนลานเจดีย์สัพพิญญูนี้เอง

เจดีย์โลกะนันดา ( Lawkananda Phaya)

สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธาเช่นกัน ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งอระวดี ซึ่งชาวบ้านที่มานอกจากมาทำบุญและสักการะพระเจดีย์แล้ว บางคนยังมานั่งเล่นหย่อนใจชมสายน้ำ เรื่อยเลยไปจนถึงนั่งชมอาทิตย์ตกดินด้วย หากพอมีเวลา ด้านนอกมีตั้งตั้งขายอาหารประเภทของกินเล่น เช่น กุ้งแม่น้ำตัวโตชุบแป้งทอด และไอศกรีมถังตักใส่ถ้วยสีสันน่ารับประทานด้วย 

นันพญา

ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านเมียงกะบา สร้างราวปี พ.ศ. 1602 ในสมัยพระเจ้าอโนรธา ตามตำนานเล่าขานว่า สร้างเพื่อเป็นตำหนักจองจำพระเจ้ามนูหะ กษัตริย์มอญจากเมืองสุธรรมวดี (สะเทิม) ในฐานะเชลยศึกของพระเจ้าอโนรธา แต่มีข้อโต้แย้งว่า นันพญาน่าจะเป็นศาสนสถานมาตั้งแต่แรก เพราะภายในคูหามีแท่นประดิษฐานรูปเคารพ ซึ่งแม้ในปัจจุบันจะว่างเปล่าแต่ขนาดของแท่นเหมาะแก่การประดิษฐานพระยืนตามแบบพุทธศิลป์สกุลช่างพุกาม อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจภายในคูหาวัดนันพญา คือเสาใหญ่สี่เหลี่ยมสี่ตัน ที่เป็นโครงสร้างหลักรองรับส่วนบน โดยเหลี่ยมของเสากรุด้วยศิลาและมีภาพแกะสลักนูนต่ำ เป็นภาพบุคคลมีสี่หน้าประทับบนแท่นดอกบัวในมือถือดอกบัว ทำให้มีการตีความหมายว่าเป็นพระพรหม เทพชั้นสูงในศาสนาฮินดู และวัดนันพญาอาจเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือพระโพธิสัตว์สมันตมุข (พระโพธิสัตว์ที่มีพระพักตร์อยู่โดยรอบ เช่นเดียวกับปราสาทบายนในเขมร)

วิหารมนูหะ (Manuha Tample)

ตั้งอยู่ติดกับวัดนันพญา จัดเป็นประเภท เจดีย์วิหารวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้ามนูหะ(King Manuha) กษัตริย์มอญที่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยศักดิ์อยู่ที่พุกามพร้อมมเหสี และพลเมืองมอญอีกกว่า 30,000 คน ที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งที่พระเจ้าอโนรธาตีเมืองสะเทิมได้ในปีพ.ศ. 1600 แล้วยึดพระไตรปิฏก 30 ชุดมาไว้ที่พุกาม การที่พระเจ้ามนูหะทรงสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นก็เพื่อเป็นการถ่ายทอด และระบายให้รู้ถึงความอึดอัดใจ และความไม่สบายใจที่พระองค์ มีต่อการตกเป็นเชลยเช่นนี้ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่คับวิหาร ขนาบข้างด้วยพุทธสาวก ทั้งนี้เพื่อแสดงความอึดอัดคับข้องพระตาชหฤทัยที่ต้องถูกจองจำในฐานะเฉลยศึก นอกจากนี้พระเจ้มนูหะยังทรงสร้างพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่มากอีกองค์หนึ่งไว้ด้านหลัง แต่พระหัตถ์ขวาของพระอง์นี้วางราบกับพื้น จึงเรียกพระไสยาสน์ปางปรินิพพาน ที่ว่าพระโอษฐ์มีรอยยิ้ม จึงตีความว่า เพระเจ้ามนูหะอาจมีพระประสงค์สะสื่อความว่า มีเพียงความตายเท่านั้นที่ทำให้ดวงพระวิญญาณของพระองค์มีอิสรภาพ ทั้งนี้ด้านข้างของวิหารวัดมนูหะมีอาคารประดิษฐานพระตาชานุสาวรีย์พระเจ้ามนูหะและพระอัครมเหสีที่ถูกจับมาจองจำไว้ด้วยกัน

บูพญา แปลว่า เจดีย์น้ำเต้า

ตามลักษณะเจดีย์ที่มี่รูปทรงรคล้ายน้ำเต้า ซึ่งเป็นรูปทรงเจดีย์ที่ได้รับความนิยมในสมัยก่อนตั้งอาณาจักรพุการ ตามตำนานเล่าขานว่า สร้างตั้งแต่พุทธศตวรรษที 8 ในสมัยอาณาจักรศรีเกษตร (พิว) โดยพระเจ้าพิวซอว์ธี บ้างก็ว่าน่าจะสร้างในพุทธศตวรรษที่ 16 อีกทั้งรูปร่างของเจดีย์น่าจะเป็นเจตนา หมายถึง ลักษณะของพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ข้างใน บูพญาตั้งอยู่ริมน้ำอิรวดี จังเป็นหลักหมายองนักเดินเรือจากอดีตถึงปัจจุบัน ว่าถ้าเห็นบูพญาก็หมายความว่าถึงเมืองพุกามแล้ว นักท่องเที่ยวนิยมมานั่งชมอาทิตย์อัสดงในลำน้ำอิรวดีที่เจดีย์แห่งนี้ ติโลมินโล แปลว่า เจดีย์ฉัตรตั้ง” จัดเป็นประเภท เจดีย์วิหารสร้างในสมัยพระเจ้านาตองมยา เป็นเจดีย์ที่มีความเป็นมาแปลกกว่าเจดีย์องค์อื่นๆ ด้วยในสมัยพระเจ้านรปติซีตู ทรงมีราชบุตรหลายพระองค์ ทั้งที่เกิดแต่อัครมเหสีและพระชาย เมื่อทรงจะตั้งองค์รัชทายาทสืบราชบัลลังค์ ก็ไม่อาจตั้งราชบุตรในอัครมเหสีได้ทันทีเพราะทรงเคยรับปากพระชายาองค์หนึ่งซึ่งคอยบริบาลพระองค์ขณะประชวรอย่างดียิ่งว่า จะทรงพิ่จารณาราชบุตรจากชายาให้ขึ้นครองราชย์ด้วย เมื่อไม่อาจคืนคำที่ให้ไว้ จึงตัดสินพระทัยเรียกราชบุตรทั้งห้าพระองค์มานั่งล้อมวง แล้วตั้งฉัตรอันเป็นสัญลักษณ์กษัตริย์ไว้ตรงกลาง หากฉัตรล้มลงแล้วปลายฉัตรชี้ไปที่ราชบุตรองค์ใดก็จะทรงแต่งตั้งเป็นกษัตริบ์สืบจากพระองค์ ปรากฏว่าปลายฉัตรชี้ไปที่เจ้าชายชัยสิงห์ (พระเจ้านาตองมยา) ซึ่งเป็นราชบุตรอันเกิดแต่ชายองค์ที่บริบาลพระเจ้านรปติซีตู ชาวพม่าจึงเรียกนาตองมายาว่า กษัตริย์ฉัตรตั้งและเมื่อทรงขึ้นครองราชย์จึงสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรย์ ณ บริเวณที่พระราชบิดาเอาฉัตรเสี่ยงทาย เรียกกันว่า เจดีย์ติโลมินโลอย่างไรก็ตามนักปราชญ์ชาวพม่าบางรายตีความว่า ติโลมินโลอาจเพี้ยนเสียงมาจาก ติโลกมีงคลาหรือ ผู้ได้รับพรอันเป็นมลคลจากสามโลก

ตลาดยองอู (Yong U Market)

ยองอูเป็นตลาดใหญ่ของเมืองที่ขายสินค้าทุกชนิด ทั้งเครื่องอุปโภค บริโภค ข้าวปลาอาหาร ผักสด เสื้อผ้า ของที่ระลึกพื้นเมือง เหมาะสำหรับเดินชมและเลือกซื้อของฝาก โดยเฉพาะเครื่องเขินที่พุกามถือว่าเป็นหนึ่ง เพราะฝีมือปราณีต และออกแบบสวย มาแล้วไม่ควรพลาดซื้อกลับไป


ภูเขาโปปา (Mount Popa)

ภูเขาโปปาเป็นภูเขาที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สิงสถิตของบรรดาเทวดาและนัตทั้งหลาย ตามความเชื่อดั้งเดิมของประชาชนชาวพม่าตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 4 แล้ว โดยกษัตริย์ของอาณาจักรในอดีตของพม่า จะต้องจัดงานเคารพบูชาผีนัตเป็นประจำทุกปี โดยชาวพม่าเชื่อว่าภูเขาแห่งนี้เป็นเสมือนบ้านของผีนัต มีการเฉลิมฉลองเพื่อแสดงความเคารพต่อผีนัตในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว ตั้งอยู่ห่างจากเมืองพุกามประมาณ 50 กิโลเมตร โดยมีความสูงทั้งสิ้น 1,518 เมตร

เมียนมาร์ - ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

เมียนมาร์ - ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

     เมียนมาร์เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนค่อนข้างต่ำ กิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ แบ่งเป็น 
          ด้านเกษตรกรรม ถือว่าเป็นอาชีพหลักของชาวเมียนมาร์ เขตเกษตรกรรม คือบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเอยาวดี และแม่น้ำสะโตง โดยส่วนใหญ่จะปลูกข้าวเจ้า ปอกระเจ้า อ้อย และพืชเมืองร้อนอื่นๆ
        ด้านการทำเหมืองแร่ ภาคกลางตอนบนมีน้ำมันปิโตรเลียม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุดแร่หิน สังกะสี และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ทำเหมือง ดีบุก การทำป่าไม้ มีการทำป่าไม้สักทางภาคเหนือ ส่งออกขายและล่องมาตาม แม่น้ำเอยาวดีเข้าสู่ย่างกุ้ง
        ด้านอุตสาหกรรม กำลังมีการพัฒนาอยู่บริเวณตอนล่างของประเทศ ภาคอุตสาหกรรมโดยทั่วไปนั้นยังอยู่ในขั้นพัฒนา เช่นอุตสาหกรรมต่อเรืออยู่บริเวณเมืองย่างกุ้ง มะริด และทวาย ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ อัญมณี ป่าไม้ แร่ธาตุ (ดีบุก) และน้ำมัน

     จากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยทหาร รัฐบาลทหารได้นำเมียนมาร์ไปสู่ระบบเศรษฐกิจเสรี และแม้ต่อมาจะได้จัดตั้งสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (SPDC) ก็ยังคงยึดนโยบายเช่นเดิม คือ อนุญาตให้ ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการผลิต และการจัดการ รวมทั้งได้เปิดประเทศ ให้มีการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น แต่มีอัตราการขยายตัวไม่แน่นอน เพราะเศรษฐกิจของพม่า ต้องพึ่งพาสินค้าเกษตรเพียงไม่กี่ชนิด หากประสบปัญหาภัยธรรมชาติ หรือสภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน ก็จะส่งผลให้ผลผลิตตกต่ำ นอกจากนั้น อุปสรรคที่ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไม่แน่นอน ยังเกิดจากการขาดแคลนไฟฟ้าและสาธารณูปโภคขึ้นพื้นฐาน ปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน ในระบบและนอกระบบ เป็นต้น

สินค้านำเข้าที่สำคัญ: ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม
    สินค้าแปรรูป สินค้าอาหาร
สินค้าส่งออกที่สำคัญ: ก๊าซธรรมชาติ สิ่งทอ ไม้ซุง
ตลาดนำเข้าที่สำคัญ: จีน สิงคโปร์ ไทย
ตลาดส่งออกที่สำคัญไทย อินเดีย จีน
สกุลเงินและอัตราแลกเปลี่ยน : เมียนมาร์

สกุลเงิน
: จ๊าต (Kyat) ตัวย่อ MMK
อัตราแลกเปลี่ยน
: 30 จ๊าต = 1 บาท
(ข้อมูล พฤษภาคม ปี 2556)
: 899 จ๊าต = 1 ดอลลาร์สหรัฐ

จุดอ่อน/จุดแข็ง : เมียนมาร์
จุดแข็ง: มีทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก
 : มีพรมแดนเชื่อมโยงกับจีนและอินเดียที่ถือเป็นตลาดใหญ่มากของโลก
 : ค่าจ้างแรงงานค่อนข้างต่ำ ข้อมูลปี 55
  (2.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน หรือประมาณวันละ 75 บาท)
   
จุดอ่อน: ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
 : ความไม่แน่นอนทางการเมือง และนโยบาย

ประวัติศาสตร์เมียนมาร์

ประวัติศาสตร์

     ประวัติศาสตร์ของพม่านั้นมีความยาวนานและซับซ้อน มีประชาชนหลายเผ่าพันธุ์เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ เผ่าพันธุ์เก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏได้แก่ชาวมอญ ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 13 ชาวพม่าได้อพยพลงมาจากบริเวณพรมแดนระหว่างจีนและทิเบต เข้าสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี และได้กลายเป็นชนเผ่าส่วนใหญ่ที่ปกครองประเทศในเวลาต่อมา ความซับซ้อนของประวัติศาสตร์พม่ามิได้เกิดขึ้นจากกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนพม่าเท่านั้น แต่เกิดจากความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอันได้แก่ จีน อินเดีย บังกลาเทศ ลาว และไทยอีกด้วย

มอญ

     มนุษย์ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนของประเทศพม่าเมื่อราว 11,000 ปีมาแล้ว แต่มนุษย์ที่สามารถสร้างอารยธรรมขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของตนได้ก็คือชาวมอญ ชาวมอญได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้เมื่อราว 2,400 ปีก่อนพุทธกาล และได้สถาปนาอาณาจักรสุวรรณภูมิ อันเป็นอาณาจักรแห่งแรกขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 2 ณ บริเวณใกล้เมืองท่าตอน (Thaton) ชาวมอญได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธผ่านทางอินเดียในราวพุทธศตวรรษที่ 2 ซึ่งเชื่อว่ามาจากการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช บันทึกของชาวมอญส่วนใหญ่ถูกทำลายในระหว่างสงครามวัฒนธรรมของชาวมอญเกิดขึ้นจากการผสมเอาวัฒนธรรมจากอินเดียเข้ากับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองจนกลายเป็นวัฒนธรรมลักษณะลูกผสม ในราวพุทธศตวรรษที่ 14 ชาวมอญได้เข้าครอบครองและมีอิทธิพลในดินแดนตอนใต้ของพม่า

ปยู

     ชาวปยูเข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนประเทศพม่าตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 4 และได้สถาปนานครรัฐขึ้นหลายแห่ง เช่นที่ พินนาคา (Binnaka) มองกะโม้ (Mongamo) อาณาจักรศรีเกษตร (Sri Ksetra) เปียทะโนมโย (Peikthanomyo) และฮะลีนจี (Halingyi) ในช่วงเวลาดังกล่าว ดินแดนพม่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย จากเอกสารของจีนพบว่า มีเมืองอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของชาวปยู 18 เมือง และชาวปยูเป็นชนเผ่าที่รักสงบ ไม่ปรากฏว่ามีสงครามเกิดขึ้นระหว่างชนเผ่าปยู ข้อขัดแย้งมักยุติด้วยการคัดเลือกตัวแทนให้เข้าประลองความสามารถกัน ชาวปยูสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ทำจากฝ้าย อาชญากรมักถูกลงโทษด้วยการโบยหรือจำขัง เว้นแต่ได้กระทำความผิดอันร้ายแรงจึงต้องโทษประหารชีวิต ชาวปยูนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่วัดตั้งแต่อายุ 7 ขวบจนถึง 20 ปี

     นครรัฐของชาวปยูไม่เคยรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่นครรัฐขนาดใหญ่มักมีอิทธิพลเหนือนครรัฐขนาดเล็กซึ่งแสดงออกโดยการส่งเครื่องบรรณาการให้ นครรัฐที่มีอิทธิพลมากที่สุดได้แก่ศรีเกษตร ซึ่งมีหลักฐานเชื่อได้ว่า เป็นเมืองโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า ไม่ปรากฏหลักฐานว่าอาณาจักรศรีเกษตรถูกสถาปนาขึ้นเมื่อใด แต่มีการกล่าวถึงในพงศาวดารว่ามีการเปลี่ยนราชวงศ์เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช 637 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรศรีเกษตรต้องได้รับการสถาปนาขึ้นก่อนหน้านั้น มีความชัดเจนว่า อาณาจักรศรีเกษตรถูกละทิ้งไปในปีพุทธศักราช 1199 เพื่ออพยพย้ายขึ้นไปสถาปนาเมืองหลวงใหม่ทางตอนเหนือ แต่ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเมืองดังกล่าวคือเมืองใด นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่าเมืองดังกล่าวคือเมืองฮะลีนจี อย่างไรก็ตามเมืองดังกล่าวถูกรุกรานจากอาณาจักรน่านเจ้าในราวพุทธศตวรรษที่ 15 จากนั้นก็ไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงชาวปยูอีก


อาณาจักรพุกาม

     ชาวพม่าเป็นชนเผ่าจากทางตอนเหนือที่ค่อย ๆ อพยพแทรกซึมเข้ามาสั่งสมอิทธิพลในดินแดนประเทศพม่าทีละน้อย กระทั่งปีพุทธศักราช 1392 จึงมีหลักฐานถึงอาณาจักรอันทรงอำนาจซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง "พุกาม" (Pagan) โดยได้เข้ามาแทนที่ภาวะสุญญากาศทางอำนาจภายหลังจากการเสื่อมสลายไปของอาณาจักรชาวปยู อาณาจักรของชาวพุกามแต่แรกนั้นมิได้เติบโตขึ้นอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กระทั่งในรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา (พ.ศ. 1587–1620) พระองค์จึงสามารถรวบรวมแผ่นดินพม่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสำเร็จ และเมื่อพระองค์ทรงตีเมืองท่าตอนของชาวมอญได้ในปีพุทธศักราช 1600 อาณาจักรพุกามก็กลายเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งที่สุดในดินแดนพม่าอาณาจักรพุกามมีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าจานสิตา (พ.ศ. 1624–1655) และพระเจ้าอลองสิธู (พ.ศ. 1655–1710) ทำให้ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ดินแดนในคาบสมุทรสุวรรณภูมิเกือบทั้งหมดถูกครอบครองโดยอาณาจักรเพียงสองแห่ง คืออาณาจักรเขมรและอาณาจักรพุกาม
     อำนาจของอาณาจักรพุกามค่อย ๆ เสื่อมลง ด้วยเหตุผลหลักสองประการ ส่วนหนึ่งจากการถูกเข้าครอบงำโดยของคณะสงฆ์ผู้มีอำนาจ และอีกส่วนหนึ่งจากการรุกรานของจักรวรรดิมองโกลที่เข้ามาทางตอนเหนือ พระเจ้านรสีหบดี (ครองราชย์ พ.ศ. 1779–1830) ได้ทรงนำทัพสู่ยุนนานเพื่อยับยั้งการขยายอำนาจของมองโกล แต่เมื่อพระองค์แพ้สงครามที่งาซองจาน (Ngasaunggyan) ในปีพุทธศักราช 1820 ทัพของอาณาจักรพุกามก็ระส่ำระสายเกือบทั้งหมด พระเจ้านรสีหบดีถูกพระราชโอรสปลงพระชนม์ในปีพุทธศักราช 1830 กลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้อาณาจักรมองโกลตัดสินใจรุกรานอาณาจักรพุกามในปีเดียวกันนั้น ภายหลังสงครามครั้งนี้ อาณาจักรมองโกลก็สามารถเข้าครอบครองดินแดนของอาณาจักรพุกามได้ทั้งหมด ราชวงศ์พุกามสิ้นสุดลงเมื่อมองโกลได้แต่งตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นบริหารดินแดนพม่าในปีพุทธศักราช 1832

อังวะและหงสาวดี

     หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรพุกาม พม่าได้แตกแยกออกจากกันอีกครั้ง ราชวงศ์อังวะซึ่งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอาณาจักรพุกามได้ถูกสถาปนาขึ้นที่เมืองอังวะในปีพุทธศักราช 1907 ศิลปะและวรรณกรรมของพุกามได้ถูกฟื้นฟูจนยุคนี้กลายเป็นยุคทองแห่งวรรณกรรมของพม่า แต่เนื่องด้วยอาณาเขตที่ยากต่อป้องกันการรุกรานจากศัตรู เมืองอังวะจึงถูกชาวไทใหญ่เข้าครอบครองได้ในปีพุทธศักราช 2070
     สำหรับดินแดนทางใต้ ชาวมอญได้สถาปนาอาณาจักรของพวกตนขึ้นใหม่อีกครั้งที่หงสาวดี โดยมะกะโทหรือพระเจ้าฟ้ารั่ว เป็นจุดเริ่มต้นยุคทองของมอญ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาทและศูนย์กลางทางการค้าขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา

ราชวงศ์ตองอู

     หลังจากถูกรุกรานจากไทใหญ่ ชาวอังวะได้อพยพลงมาสถาปนาอาณาจักรแห่งใหม่โดยมีศูนย์กลางที่เมืองตองอูในปีพุทธศักราช 2074 ภายใต้การนำของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ (ครองราชย์ พ.ศ. 2074–2093) ซึ่งสามารถรวบรวมพม่าเกือบทั้งหมดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีกครั้ง
     ในช่วงระยะเวลานี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดขึ้นในภูมิภาค ชาวไทใหญ่มีกำลังเข้มแข็งเป็นอย่างมากทางตอนเหนือ การเมืองภายในอาณาจักรอยุธยาเกิดความไม่มั่นคง ในขณะที่โปรตุเกสได้เริ่มมีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสามารถเข้าครอบครองมะละกาได้ เกี่ยวกับการเข้ามาของบรรดาพ่อค้าชาวยุโรป พม่ากลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง การที่พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ได้ตีและย้ายเมืองหลวงจากตองอูมาอยู่ที่เมืองหงสาวดีซึ่งเป็นเมืองของชาวมอญ เหตุผลส่วนหนึ่งก็เนื่องด้วยทำเลทางการค้าและการกดให้ชาวมอญอยู่ภายใต้อำนาจ พระเจ้าบุเรงนอง (ครองราชย์ พ.ศ. 2094–2124) ซึ่งเป็นพระเทวัน (พี่เขย) ของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ และสามารถเข้าครอบครองอาณาจักรต่าง ๆ รายรอบได้ อาทิ มณีปุระ(พ.ศ. 2103) อยุธยา (พ.ศ. 2112) ราชการสงครามของพระองค์ทำให้พม่ามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้งมณีปุระและอยุธยา ต่างก็สามารถประกาศตนเป็นอิสระได้ภายในเวลาต่อมาไม่นาน
     เมื่อต้องเผชิญกับการก่อกบฏจากเมืองขึ้นหลายแห่ง ประกอบกับการรุกรานของโปรตุเกส กษัตริย์แห่งราชวงศ์ตองอูจำเป็นต้องถอนตัวจากการครอบครองดินแดนทางตอนใต้ โดยย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองอังวะ พระเจ้าอะนอกะเพตลุน (Anaukpetlun) พระนัดดาของพระเจ้าบุเรงนอง สามารถรวบรวมแผ่นดินพม่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งในพุทธศักราช 2156 พระองค์ตัดสินใจที่จะใช้กำลังเข้าต่อต้านการรุกรานของโปรตุเกส พระเจ้าทาลุน (Thalun) ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ได้ฟื้นฟูหลักธรรมศาสตร์ของอาณาจักรพุกามเก่า แต่พระองค์ทรงใช้เวลากับเรื่องศาสนามากเกินไป จนละเลยที่จะใส่ใจต่ออาณาเขตทางตอนใต้ ท้ายที่สุด หงสาวดี ที่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสซึ่งตั้งมั่นอยู่ในอินเดีย ก็ได้ทำการประกาศเอกราชจากอังวะ จากนั้นอาณาจักรของชาวพม่าก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงและล่มสลายไปในปีพุทธศักราช 2295 จากการรุกรานของชาวมอญ

ราชวงศ์ราชวงศ์คองบอง

     ราชวงศ์คองบอง หรือ ราชวงศ์อลองพญา ได้รับการสถาปนาขึ้นและสร้างความเข้มแข็งจนถึงขีดสุดได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว พระเจ้าอลองพญาซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมจากชาวพม่า ได้ขับไล่ชาวมอญที่เข้ามาครอบครองดินแดนของชาวพม่าได้ในปี พ.ศ. 2296 จากนั้นก็สามารถเข้ายึดครองอาณาจักรมอญได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2302 ทั้งยังสามารถกลับเข้ายึดครองกรุงมณีปุระได้ในช่วงเวลาเดียวกัน หลังจากเข้ายึดครองตะนาวศรี (Tenasserim) พระองค์ได้ยาตราทัพเข้ารุกรานอยุธยา แต่ต้องประสบความล้มเหลวเมื่อพระองค์สวรรคตระหว่างการสู้รบ พระเจ้าเซงพะยูเชง (Hsinbyushin, ครองราชย์ พ.ศ. 2306 – 2319) พระราชโอรส ได้โปรดให้ส่งทัพเข้ารุกรานอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2309 ซึ่งประสบความสำเร็จในปีถัดมา ในรัชสมัยนี้ แม้จีนจะพยายามขยายอำนาจเข้าสู่ดินแดนพม่า แต่พระองค์ก็สามารถยับยั้งการรุกรานของจีนได้ทั้งสี่ครั้ง (ในช่วงปี พ.ศ. 2309–2312) ทำให้ความพยายามในการขยายพรมแดนของจีนทางด้านนี้ต้องยุติลง ในรัชสมัยของพระเจ้าโบดอพญา(Bodawpaya, ครองราชย์ พ.ศ. 2324–2362) พระโอรสอีกพระองค์หนึ่งของพระเจ้าอลองพญา พม่าต้องสูญเสียอำนาจที่มีเหนืออยุธยาไป แต่ก็สามารถผนวกดินแดนยะไข่ (Arakan) และตะนาวศรี (Tenasserim) เข้ามาไว้ได้ในปี พ.ศ. 2327 และ 2336 ตามลำดับ ในช่วงเดือนมกราคมของปี พ.ศ. 2366 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของพระเจ้าบาคยีดอว์ (Bagyidaw, ครองราชย์ พ.ศ. 2362–2383) ขุนนางชื่อมหาพันธุละ (Maha Bandula) นำทัพเข้ารุกรานแคว้นอัสสัมได้สำเร็จ ทำให้พม่าต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับอังกฤษที่ครอบครองอินเดียอยู่ในขณะนั้น

สงครามกับอังกฤษและการล่มสลายของราชอาณาจักร

     สืบเนื่องจากการพยายามขยายอำนาจของอังกฤษ กองทัพอังกฤษได้เข้าทำสงครามกับพม่าในปี พ.ศ. 2367 สงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่หนึ่งนี้ (พ.ศ. 2367–2369) ยุติลงโดยอังกฤษเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ฝ่ายพม่าจำต้องทำสนธิสัญญายันดาโบ (Yandaboo) กับอังกฤษ ทำให้พม่าต้องสูญเสียดินแดนอัสสัม มณีปุระ ยะข่าย และตะนาวศรีไป ซึ่งอังกฤษเริ่มก็ต้นตักตวงทรัพยากรต่าง ๆ ของพม่านับแต่นั้น เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับวัตถุดิบที่จะป้อนสู่สิงคโปร์ สร้างความแค้นเคืองให้กับทางพม่าเป็นอย่างมาก กษัตริย์องค์ต่อมาจึงทรงยกเลิกสนธิสัญญายันดาโบ และทำการโจมตีผลประโยชน์ของฝ่ายอังกฤษ ทั้งต่อบุคคลและเรือ เป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษครั้งที่สอง ซึ่งก็จบลงโดยชัยชนะเป็นของอังกฤษอีกครั้ง หลังสิ้นสุดสงครามครั้งนี้ อังกฤษได้ผนวกหงสาวดีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไว้กับตน โดยได้เรียกดินแดนดังกล่าวเสียใหม่ว่าพม่าตอนใต้ สงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในพม่า เริ่มต้นด้วยการเข้ายึดอำนาจโดยพระเจ้ามินดง (Mindon Min, ครองราชย์ พ.ศ. 2396–2421) จากพระเจ้าปะกัน (Pagin Min, ครองราชย์ พ.ศ. 2389–2396) ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระชนนี พระเจ้ามินดงพยายามพัฒนาประเทศพม่าเพื่อต่อต้านการรุกรานของอังกฤษ พระองค์ได้สถาปนากรุงมัณฑะเลย์ ซึ่งยากต่อการรุกรานจากภายนอก ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการรุกรานจากอังกฤษได้
     รัชสมัยต่อมา พระเจ้าธีบอ (Thibow, ครองราชย์ พ.ศ. 2421–2428) ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้ามินดง ทรงมีบารมีไม่พอที่จะควบคุมพระราชอาณาจักรได้ จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นไปทั่วในบริเวณชายแดน ในที่สุดพระองค์ได้ตัดสินพระทัยยกเลิกสนธิสัญญากับอังกฤษที่พระเจ้ามินดงได้ทรงกระทำไว้ และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สามในปีพุทธศักราช 2428 ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้อังกฤษสามารถเข้าครอบครองดินแดนประเทศพม่าส่วนที่เหลือเอาไว้ได้

เอกราช

     พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2429 และระยะก่อนการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เล็กน้อย ญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ติดต่อกับพวกตะขิ่น ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาหนุ่มที่มีหัวรุนแรง มีออง ซาน นักชาตินิยม และเป็นผู้นำของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งเป็นหัวหน้า พวกตะขิ้นเข้าใจว่าญี่ปุ่นจะสนับสนุนการประกาศอิสรภาพของพม่าจากอังกฤษ แต่เมื่อญี่ปุ่นยึดครองพม่าได้แล้ว กลับพยายามหน่วงเหนี่ยวมิให้พม่าประกาศเอกราช และได้ส่งอองซานและพวกตะขิ่นประมาณ 30 คน เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อรับคำแนะนำในการดำเนินการเพื่อเรียกร้องอิสรภาพจากอังกฤษ
     เมื่อคณะของอองซานได้เดินทางกลับพม่าใน พ.ศ. 2485 อองซานได้ก่อตั้ง องค์การสันนิบาตเสรีภาพแห่งประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist Peoples Freedom League : AFPFL) เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ องค์การนี้ภายหลังได้กลายเป็นพรรคการเมือง ชื่อ พรรค AFPFL เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว อองซานและพรรค AFPFL ได้เจรจากับอังกฤษ โดยอังกฤษยืนยันที่จะให้พม่ามีอิสรภาพปกครองตนเองภายใต้เครือจักรภพ และมีข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำพม่าช่วยให้คำปรึกษา แต่อองซานมีอุดมการณ์ที่ต้องการเอกราชอย่างสมบูรณ์ อังกฤษได้พยายามสนันสนุนพรรคการเมืองอื่น ๆ ขึ้นแข่งอำนาจกับพรรค AFPFL ของอองซานแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงยินยอมให้พรรค AFPFL ขึ้นบริหารประเทศโดยมีอองซานเป็นหัวหน้า อองซานมีนโยบายสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และต้องการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษโดยสันติวิธี จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ในพรรค AFPFL อองซานและคณะรัฐมนตรีอีก 6 คน จึงถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ขณะที่เดินออกจากที่ประชุมสภา ต่อมาตะขิ้นนุหรืออูนุได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนและมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2490 โดยอังกฤษได้มอบเอกราชให้แก่พม่าแต่ยังรักษาสิทธิทางการทหารไว้ 4 มกราคมพ.ศ. 2491 อังกฤษจึงได้มอบเอกราชให้แก่พม่าอย่างสมบูรณ์

การปกครองโดยทหาร

     ใน พ.ศ. 2501 ประเทศพม่าประสบความล้มเหลวในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนั้น สันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสต์ยังแตกแยกออกเป็นสองส่วน กลุ่มหนึ่งนำโดยอูนุและติน อีกกลุ่มนำโดยบะส่วยและจอเย่ง แม้อูนุจะประสบความสำเร็จในการนำประชาธิปไตยเข้าสู่ยะไข่โดยอูเซนดา แต่เกิดปัญหากับชาวปะโอ ชาวมอญ และชาวไทใหญ่ ปัญหาเหล่านี้ทำให้รัฐสภาไม่มีเสถียรภาพ แม้อูนุจะผ่านการลงมติไม่ไว้วางใจโดยได้รับการสนับสนุนจากแนวร่วมสหชาติ
     กองทัพได้เจรจาปัญหาเกี่ยวกับพรรคคอมมิวนิสต์พม่ากับรัฐบาลของอูนุ ทำให้อูนุเชิญเน วิน ผู้บัญชาการทหารเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล กลุ่มแนวร่วมสหชาติถูกจับกุม 400 คน และมี 153 คนถูกส่งไปยังหมู่เกาะโกโกในทะเลอันดามัน ในกลุ่มที่ถูกจับกุมมีอองทาน พี่ชายของอองซานด้วย หนังสือพิมพ์ Botahtaung Kyemon Rangoon Daily ถูกสั่งปิด
     รัฐบาลของเน วินประสบความสำเร็จในการทำให้สถานการณ์มั่นคง และเกิดการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2503 ซึ่งพรรคสหภาพของอูนุได้เสียงข้างมาก แต่เสถียรภาพไม่ได้เกิดขึ้นนาน เมื่อขบวนการสหพันธ์ฉานนำโดยเจ้าส่วยใต้ เจ้าฟ้าเมืองยองห้วยที่เป็นประธานาธิบดีคนแรกของพม่า ต้องการสิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 ที่ขอแยกตัวออกไปได้เมื่อรวมตัวเป็นสหภาพครบสิบปี เน วินพยายามลดตำแหน่งเจ้าฟ้าของไทใหญ่โดยแลกกับสิทธิประโยชน์ต่างๆใน พ.ศ. 2502 ในที่สุด เน วินได้ก่อรัฐประหารในวัที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2505 อูนุ เจ้าส่วยใต้ และอีกหลายคน ถูกจับกุม เจ้าส่วยใต้ถูกยิงเสียชีวิต เจ้าจาแสง เจ้าฟ้าเมืองสีป้อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยที่จุดตรวจใกล้ตองจี
     การปฏิวัติระดับชาติเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศพม่า เมื่อ ค.ศ. 1988 การก่อการปฏิวัตินี้เริ่มในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1988 และจากวันที่นี้ (8-8-88) ทำให้เหตุการณ์นี้มักเป็นที่รู้จักในชื่อ "การก่อการปฏิวัติ 8888" ประเทศพม่าปกครองด้วยพรรคโครงการสังคมนิยมพม่าในฐานะรัฐที่มีพรรคการเมืองเดียวมาตั้งแต่ พ.ศ. 2505 การปกครองเน้นชาตินิยมและรัฐเข้าควบคุมการวางแผนทุกประการ การลุกฮือครั้งนี้เริ่มจากนักศึกษาในย่างกุ้งเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2531 การประท้วงของนักศึกษาได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ต่อมามีคนเรือนแสนที่เป็นพระภิกษุ เยาวชน นักศึกษา แม่บ้านและหมอ ออกมาประท้วงต่อต้านระบอบการปกครอง การประท้วงสิ้นสุดลงในวันที่ 18 กันยายน หลังจากเกิดรัฐประหารที่นองเลือดของสภาฟื้นฟูกฎหมายและกฎระเบียบแห่งรัฐซึ่งเป็นองค์กรที่เปลี่ยนรูปมาจากพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า มีผู้เสียชีวิตนับพันคนจากปฏิบัติการทางทหารระหว่างการก่อการปฏิวัติ ในขณะที่ในพม่ารายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 350 คน
     การประท้วงเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าที่นำโดยคณะพระภิกษุสงฆ์ แม่ชี นักศึกษาและประชาชน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550 จากการไม่พอใจของประชาชนต่อการประกาศขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเกือบเท่าตัว และขึ้นราคาก๊าซหุงต้มถึง 5 เท่าอย่างฉับพลันโดยมิได้ประกาศแจ้งบอกของรัฐบาลทหารพม่าการประท้วงเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยมา จนถึงวันที่ 5 กันยายน มีการชุมนุมประท้วงที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองพะโคกกุ ทางตอนกลางของประเทศ เจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้งพระสงฆ์จำนวน 3 รูป สื่อมวลชนบางแห่งเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าSaffron Revolution หรือ การปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์
     คณะพระภิกษุ ซึ่งเป็นสถาบันที่ได้รับความเคารพอย่างสูงจากชาวพม่า ประกาศ "ปฐม นิคหกรรม" ไม่รับบิณฑบาตจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารพม่า ทหาร และครอบครัว และเรียกร้องให้ทางการพม่า ขอโทษองค์กรสงฆ์อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 17 กันยายน แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ภิกษุสงฆ์จึงเริ่มเข้าร่วมการประท้วงด้วย ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน เมื่อรวมผู้ประท้วงแล้วมากกว่า 1 แสนคน การประท้วงต่อต้านรัฐบาลเผด็จการครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการประท้วงต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่การประท้วงเมื่อปี พ.ศ. 2531 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน ในการใช้กำลังทหารเข้าสลายการประท้วง